20 กรกฎาคม 2555

ที่สุด "ล้างพอร์ต"

ในที่สุดก่อนหนึ่งทุ่ม พอร์ตผมก็หายทันใดอีกรอบ
จริงๆ ก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว ด้วยไม่ได้ตั้ง SL และไม่อยากเติมเงินใส่โบรก
ต้องยอมรับจริงๆ ว่า สกุลเงินยูโรหาปัจจัยบวกยาก ไม่เหมาะแก่การช้อนซื้อใดๆ
ใครเข้าไป buy ยูโรไว้นี่แทบหอบหืด กล้ำกลืนฝืนทน กระอักกระอ่วน
เฉพาะคู่ EU ยังไม่สามารถยืนเหนือราคา 1.2300 ได้เลย

เท่าที่พอรู้ๆ จากพรรคพวกมาบ้าง คือไม่ค่อยมีใครอยาก sell ในราคาต่ำๆ เช่นนี้
โดยจิตวิทยามวลชน ส่วนใหญ่จึงมองไปที่การเปิด buy กันมากกว่า
นั่นแหละ ราคาที่อันตรายที่สุด ราคาที่ใครๆ ต่างกลัวมากที่สุด อาจหมายถึงเป็นราคาที่น่าเสี่ยง!!
ว่าแต่จักมีกี่คนที่คิดเปิดออเดอร์ sell หรือนี่คือวิธีคิดของเหล่าแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
หรือว่านี่คือการดักกินรายย่อยที่ยัง buy แบบเชือดนิ่มๆ เป็นการสลายเด็ดปีกอย่างไร้คำบรรยาย

การล้างพอร์ตอีกรอบครานี้ของผมก็ทำให้ต้องทบทวนและมองตลาดฟอเร็กซ์กันใหม่
เราให้ความสำคัญเรื่องเทคนิเคิลมากเกินไปหรือไม่ หรือเราพะวักพะวงปัจจัยด้านข่าวสารมากเกินไป
หรือเราทุนน้อย (ก็ลงล็อตน้อยนะ)  หรือว่าเราอ่อนด้อยและยังมองตลาดเงินไม่ทะลุปรุโปร่ง
หรือเราใช้อารมณ์ในการเทรด หรือว่าเราคิดไปเอง หรือที่สุดเราโดนพวกรายใหญ่เล่นงาน ฯลฯ

เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์
หลังจากพอร์ตหาย ผมก็คงทำใจสักพัก
สะสมพลังใจและกำลังเงินแล้วค่อยมาลุยต่อ
ตอนนี้ ขออ่านแง่คิดจาก "กูรูพันล้าน"
เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์ ไปพลางๆ ก่อน
อาจเป็นหลักคิดการเล่นหุ้น แต่ก็นำมาใช้กับตลาดเงินได้





# คุณยังไม่มีประสบการณ์เลย คุณต้องขาดทุนก่อน ในชีวิตจริงต้องเป็นอย่างนั้น
นักลงทุนมือใหม่ "ขาดทุน" ถือเป็นเรื่องปกติ การเล่นหุ้นขาดทุน แสดงว่า "คุณยังรู้ไม่จริง"
อยู่ในตลาดหุ้นอย่าคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่น ยังมีคนที่รู้มากกว่าและเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ
เราต้องรู้ให้ได้ว่าหุ้นที่เราจะซื้อ...เราซื้อเพราะอะไร?
เราต้องตอบให้ได้ว่าหุ้นตัวนี้มันจะขึ้นด้วยเหตุผลอะไร?
ถ้าคุณตอบได้ โอกาส "ชนะ" ก็มีมากกว่าครึ่ง
"คนจะเกิด (ในตลาดหุ้น) มันต้องเกิดจากการไขว่คว้า...ไม่ใช่ฟลุ้ค!"

#  การเล่นหุ้นให้ได้กำไรก้อนใหญ่ ปีหนึ่งเราควรเล่นหุ้นแค่ 2 เดือน ก็รวยมหาศาลแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเล่น (เทรด) หุ้นทั้งปี แต่ถ้าอยากเล่นเป็นรายวัน ก็ให้คิดว่าเล่นเป็นค่ากับข้าว ไม่ใช่ทุ่มสุดตัว
เพราะถ้าอยากจะรวยจริงๆ บอกได้เลยครับว่า...คุณต้องเล่นรอบใหญ่เท่านั้น
ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไม่ดี เป็น Bearlish Trend สำหรับตัวผมจะเหลือหุ้นอยู่ในพอร์ตน้อยมาก
จะเล่นแค่สนุก เล่นเพื่อให้เราอยู่ในกระแส
ถ้าอยากจะเล่นเกมส์ให้ชนะ เราต้องศึกษา เราต้องรอบรู้ เราต้องมีเพื่อน
เราต้องคอยอ่านความคิดคนอื่นว่าเขามองยังไง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนวิธีการ "จับปลาใหญ่" คุณต้องนิ่งๆ รอให้หุ้นลงต่ำๆ ค่อยเข้าไปเล่น ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อหุ้นไม่ได้
ถ้าคุณมีเงินเย็นอยู่ในกระเป๋าจะมีหุ้นดีๆ วิ่งมา "ชน" คุณเอง
ส่วนใหญ่ของคนที่ "ติดหุ้น" เพราะถูกอารมณ์ของตลาดหุ้นพาไป (ขาดทุน) ชอบไปซื้อหุ้นตอนที่ตลาดใกล้วาย

# สำหรับการลงทุนระยะสั้น การทำความเข้าใจกับ "แนวรับ" หรือ แนว Support
และ "แนวต้าน" หรือ แนว Resistance นั้น นับว่ามีความสำคัญอยู่ไม่น้อย
ถ้าราคาหุ้นช่วงไหนที่ทุกคนซื้อขาย "นัวเนีย" อยู่แถวนี้ "แน่น" มาก และนานพอสมควร
ถ้าจะฝ่าราคาตรงนี้ขึ้นไปได้ ต้องใช้เงินมาก
โดยหลักจิตวิทยาของคนเล่นหุ้น ถ้า "ขาดทุน" พอราคาขึ้นมาถึงทุน ก็จะรีบขาย
ภาษาหุ้นเขาเรียกว่า "ขอชีวิตคืน" ตรงจุดนั้น ก็จะเป็น "แรงต้าน"
แต่ถ้าราคามีการ Breakout หรือการทะลุผ่านแนวต้านขึ้นไปได้ แนวต้านตรงนี้ก็จะกลายเป็น "แนวรับ" เลยนะ
คนที่จะเล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น ต้องดูจุดนี้ประกอบด้วย

# ในบางตำรา...สูตรการเล่นหุ้นมักจะบอกว่า "ลงให้ซื้อ...ขึ้นให้ขาย" แต่วิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ทุกครั้ง
คนที่ผ่านจุดอันตรายที่สุดมาแล้ว เขาจะไม่คิดแบบนี้ เพราะ "ลูกยังเล็ก" อันตราย!!
...เขาจะคิดตรงกันข้ามว่า "ลงให้ขาย" (Cut Loss) "ขึ้นให้ซื้อ" (Follow the Trend)
ซึ่งเป็นวิธีที่ "ลดความเสี่ยง" ได้ดีที่สุด
เราจะอ่านเกมได้อย่างไรกรณีที่หุ้นปรับฐานแล้วจะ "ลงแรง" หรือ "ไม่แรง"
"สัญญาณขาย" หรือ Sell Signal ตามหลักดีมานด์และซัพพลาย ก็คือ ในกรณีที่หุ้นจะลง "ไม่แรง" นั้น
รายย่อยจะยัง "ไม่เข้า" เมื่อหุ้นปรับฐานแล้ว มีโอกาสไปต่อ "สูง"
กรณีที่หุ้นจะ "ปรับตัวแรง" ให้สังเกต "วอลลุ่ม" มักจะทำ "พีค" ก่อน แสดงว่า...รายย่อยแห่เข้าใส่แล้ว
ยิ่งซื้อแบบไม่ลืมหูลืมตา (กลัวตกรถไฟขบวนสุดท้าย) เวลาที่หุ้นปรับตัว จะ "ลงแรง" และ "ลงหนัก"

.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น