สรุปข่าว
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเกือบทุกสกุลเงินหลัก
เนื่องจากรายงานตัวเลขจ้างงานที่น่าผิดหวังผลักดันให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น
แล้วหันมาถือครองดอลลาร์ที่มีความปลอดภัยกว่า
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 80,000 ตำแหน่ง
ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 90,000-100,000 ตำแหน่งโดยประมาณ
ขณะที่อัตราว่างงานทรงตัวที่ระดับ 8.2% ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ส่วนใหญ่
ตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐกำลังอ่อนแรง
ขณะการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ชะลอตัว
จากข้อมูลตลาดแรงงานที่น่าผิดหวังผลักดันให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง
และหันมาถือสกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้เพิ่มแรงกดดันให้ราคาทองคำ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ด้วย
เพราะดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาแพงสำหรับผู้ที่ถือครองสกุลเงินอื่น
ขณะที่ยูโรอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ 1.2262 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่อ่อนแอเกี่ยวกับตลาดแรงงานสหรัฐก็ได้เพิ่มกระแสคาดการณ์ว่า
ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวได้จำกัดช่วงขาขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์
โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในตะกร้าสกุลเงิน
ปรับตัวขึ้น 0.619 แตะ 83. 561
ด้านสกุลเงินยูโรยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรปมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%
สู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสเปนพุ่งขึ้นเหนือระดับ 7%
ซึ่งเป็นระดับที่อันตราย สะท้อนว่านักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถของสเปนในการชำระหนี้
ภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายในยุโรปทำให้นักลงทุนมองหาพันธบัตรที่มีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงสุดแทน
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.)
เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร
หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด
ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและถือเงินดอลลาร์มากขึ้น
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
ได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินลงภายในชั่วโมงเดียวกัน (5 ก.ค.)
ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าธนาคารกลางมีความกังวลมากยิ่งขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ECB และ BOE ผ่อนคลายนโยบายการเงินลงตามความคาดหมาย
แต่การดำเนินการของธนาคารกลางจีนได้สร้างความประหลาดใจต่อตลาด
โดยธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.31 % สู่ 6 %
หลังจากที่เพิ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนที่แล้ว
โดยอีซีบีปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 % สู่สถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่0.75 %
หลังจากมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซาในยูโรโซน
กระนั้น อีซีบีก็ไม่ได้ดำเนินมาตรการที่แข็งกร้าวกว่านี้ เช่น การดำเนินโครงการเข้าซื้อพันธบัตรอีกครั้ง
หรือการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (LTRO) ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซน
ซึ่งโพลล์รอยเตอร์คาดว่า อีซีบีจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5 % ต่อไป
แต่ประกาศว่า BOE จะเริ่มต้นพิมพ์เงินใหม่เพื่อซื้อสินทรัพย์ 5 หมื่นล้านปอนด์ (7.8 หมื่นล้านดอลลาร์)
เพื่อช่วยเศรษฐกิจอังกฤษให้หลุดพ้นจากภาวะถดถอย
นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบี กล่าวที่นครแฟรงค์เฟิร์ตของเยอรมนีว่า
ธนาคารกลางทั่วโลกไม่ได้ร่วมมือกันดำเนินมาตรการรับมือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงนี้
ถึงแม้เคยจับมือดำเนินการในช่วงที่วาณิชธนกิจเลห์แมน บราเธอร์สล้มละลายในปี 2008
และสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ไม่เลวร้ายเท่ากับในช่วงปลายปี 2008
โดยการผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อครั้งนี้
ส่งผลให้ตลาดมุ่งความสนใจมากยิ่งขึ้นไปยังการประชุมครั้งถัดไปของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ก.ค.-1 ส.ค. ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะจัดประชุมในสัปดาห์หน้า
เฟดไม่ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3)
ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรครั้งใหญ่ในการประชุมครั้งที่แล้ว ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 19-20 มิ.ย.
อย่างไรก็ดี นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวว่ามีโอกาสอีกมากในการดำเนินการเพิ่มเติม
และบริษัทดีลเลอร์ชั้นนำของสหรัฐก็คาดว่า มีโอกาส 50 % ที่เฟดจะดำเนินมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์รอบใหม่
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจเอเชีย, ยุโรป และสหรัฐในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอการเติบโต
โดยธนาคารกลางสำคัญหลายแห่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่สถิติต่ำสุดอยู่แล้วในขณะนี้
และธนาคารกลางเหล่านี้กำลังเผชิญกับกฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ (laws of diminishing returns)
ซึ่งหมายความว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไปจะส่งผลกระทบน้อยลงเรื่อยๆ
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น