พอกรีซเริ่มคลี่คลาย ก็มากังวลเรื่องหนี้สเปน ขณะที่อิตาลีอาจเป็นรายต่อไป
แม้นว่า...เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีคลังจาก 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร
ได้อนุมัติเงื่อนไขสุดท้ายของข้อตกลงช่วยเหลือสเปน
เพื่อนำเงินไปเพิ่มทุนหรือปรับโครงสร้างทางการเงินให้กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
โดยการอนุมัติข้อตกลงนั้น ได้แก่การเปิดทางให้มีการเบิกจ่ายเงินก้อนแรกจำนวน 3 หมื่นล้านยูโร (3.69 หมื่นล้านดอลลาร์)
จากวงเงินกู้ 1 แสนล้านยูโร (1.22 แสนล้านดอลลาร์)
ที่รมว.คลังยูโรโซนได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้แล้ว
"เราได้อนุมัติบันทึกข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ซึ่งกำหนดถึงเงื่อนไขในการให้เงินกู้แก่สเปน
เพื่อนำไปปรับโครงสร้างทางการเงินให้กับธนาคารของประเทศ รัฐมนตรีทั้ง 17 คนได้ให้การอนุมัติแล้ว
นั่นหมายความว่า โครงการเงินกู้นี้สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่จะยังไม่มีการจ่ายเงินในทันที
เพราะยังต้องรอผลการวิเคราะห์ของธนาคารแต่ละแห่งซึ่งยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้"
ลุค ฟรีเดน รมว.คลังลักเซมเบิร์ก แถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมทางโทรศัพท์
ทว่าก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าจะมีการเบิกจ่ายเงินเมื่อไร
รวมถึงยังไม่ทราบจำนวนเงินทั้งหมดที่จำเป็นในการพยุงภาคธนาคารของสเปน
จนกว่าจะถึงเดือนกันยายน ซึ่งจะมีการประเมินธนาคารของสเปนเป็นรายๆ ไป
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของข้อตกลงดังกล่าวทั้งในแง่ของเวลาและวงเงินนั้น
ก็ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า วิกฤตหนี้ยุโรปอาจลุกลามในวงกว้างและไม่สามารถควบคุมได้เมื่อวาน เงินสกุลยูโรร่วงลงสู่ระดับเกือบต่ำสุด (ร่วงมาที่ 1.2143) ในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์
เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า วิกฤติการเงินในยูโรโซนจะยังคงไม่คลี่คลายในเร็วๆ นี้
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินยูโรก็อ่อนแรงลงต่ำสุด (ร่วงมาที่ 0.770) ในรอบมากกว่า 3 ปี เมื่อเทียบกับเงินปอนด์
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงนั้น เพราะมีรายงานว่า
เมืองวาเลนเซียจะขอความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลสเปน ซึ่งข่าวดังกล่าว
ทำเกิดความวิตกกังวลว่าสเปนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของยูโรโซน
อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยรายงานระบุว่า
เมืองวาเลนเซียยังคงต้องการเงินอีก 2.85 พันล้านยูโรภายในสิ้นปีนี้
ดังนั้นข่าวการขอความช่วยเหลือของเมืองวาเลนเซียส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสเปนพุ่งขึ้นเหนือระดับ 7%
นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ทำให้เงินยูโรยังร่วงลงหลังจากรัฐบาลสเปนปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้า
สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งอิตาลี เปิดเผยว่า แรงกดดันทางการคลังในอิตาลีเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในโลก
โดยภาระทางการคลังของอิตาลีอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 55% ของรายได้จากการจัดเก็บภาษีในปีนี้
ตามด้วยเดนมาร์กที่ 48.6% ฝรั่งเศส 48.2% และสวีเดน 48%
รายงานระบุว่า ภาระทางการคลังของอิตาลีไม่เพียงแต่มีอันดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในยุโรปเท่านั้น
แต่ยังสูงกว่าญี่ปุ่นและสหรัฐฯ อยู่มาก โดยแรงกดดันทางการคลังของญี่ปุ่นและสหรัฐอยู่ที่ 30.6%
และ 26.3% ตามลำดับ
"อิตาลีรั้งอันดับ 1 ของโลก แถมยังไม่มีทีท่าว่าประเทศอื่นๆ จะสามารถแซงหน้าได้ในอนาคตอันใกล้
ประเทศอื่นๆ ที่ตามหลังอิตาลี ไม่เพียงแต่กำลังลดภาระทางภาษีเท่านั้น
แต่ยังมีขนาดเศรษฐกิจนอกระบบที่เล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับของอิตาลี" สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกฯ ระบุ
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า อิตาลียังรั้งอันดับ 1 ของโลกในแง่ของเศรษฐกิจใต้ดิน
ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 17.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
โดยแต่ละปีมีการหลีกเลี่ยงภาษีสูงถึง 1.54 แสนล้านยูโร (1.89 แสนล้านดอลลาร์)
***
น่าเหนื่อยใจกับการแก้ปัญาของยุโรปจริงๆ
แม้ รมว.คลังยูโรโซนจะอนุมัติเงื่อนไขการให้เงิน แต่ก็ยังไม่ได้มีการจ่ายเงินอัดฉีดเข้าไปในทันที
แถมยังมีการวิเคราะห์และประเมินการช่วยเหลือธนาคารสเปนเป็นแห่งๆ อีก
ทั้งต้องรอไปถึงเดือนกันยายน
ขณะวันที่ 12 กันยายน ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีจะพิจารณาเกี่ยวกับ
การให้สัตยาบันของรัฐสภาเยอรมนีต่อกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM)
และสนธิสัญญาทางการคลังของยุโรป
ซึ่งยังเป็นปัจจัยลบต่อทั้งยูโรโซนเพราะเยอรมันยังไม่สามารถใส่เงินเข้ากองทุนได้จนกว่าเรื่องจะเรียบร้อย
ทำให้ ESM ขาดกำลังในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ชาติสมาชิกที่กำลังประสบปัญหา
บางที การออกมาอยู่นอกตลาดบ้างอาจเป็นการดีกว่า...
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น