ตลาดเงินเริ่มไม่เชื่อมั่นในมาตรการแก้ปัญหาของผู้นำยุโรป
ตลาดการเงินเริ่มขาดความเชื่อมั่นในมาตรการแก้ปัญหาวิกฤติยูโรโซน
ที่ผู้นำยุโรป (Euro Summit) ได้ตกลงเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2555
ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสเปนระยะยาวในช่วงปิดตลาดการเงิน
เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. 2555 พุ่งกลับมำสูงขึ้นเกือบ 7% อีกครั้ง
(ซึ่งเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยที่อันตรายและเคยส่งผลให้หลายประเทศ เช่น
กรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์ ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และต้องขอรับความช่วยเหลือจาก EU/IMF)
ประเด็นสำคัญที่ตลาดการเงินเป็นห่วง คือ
ความยากลำบากในการนำมาตรการแก้ปัญหาวิกฤติไปใช้ในทำงปฏิบัติ
และประเด็นการเมืองระหว่างประเทศที่หลายประเทศในยูโรโซน
เริ่มออกมาคัดค้านการนำมาตรการ Euro Summit ไปบังคับใช้สรุปได้ดังนี้
1. ประเด็นความกังวลที่เกี่ยวกับมาตรการเรื่อง Banking Union ที่ Euro Summit ตกลง
ให้กลไกรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (ESM ) สามารถปล่อยเงินกู้ให้สถาบันการเงินแต่ละประเทศโดยตรง
โดยไม่ต้องผ่านการกู้เงินของรัฐบาลก่อน
(ซึ่งจะช่วยให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลที่กู้เงินมาช่วยธนาคารไม่ต้องเพิ่มขึ้น
และเป็นการตัดวงจรอุบาทว์ที่เชื่อมโยงระหว่าง Banking Crisis ที่จะทำให้เกิด Fiscal Crisis) ได้แก่
การที่ ESM จะปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินได้จริง จะต้องให้ธนาคารกลางยุโรป ECB
จัดตั้งหน่วยงานกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินให้เรียบร้อยก่อน
ซึ่งคงไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วภายในสิ้นปี 2555 นี้
ประเทศที่เกิดวิกฤติสถาบันการเงินและได้ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแล้ว เช่น โปรตุเกส และกรีซ
เริ่มเรียกร้องขอให้ ESM มาปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินโดยตรง โดยไม่เป็นภาระกับหนี้รัฐบาล
เช่นเดียวกับที่สเปนกำลังดำเนินการขออยู่ ขณะนี้กลไก ESM ยังไม่มีผลใช้บังคับ
(คาดว่าจะจัดตั้งได้ภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้) แต่คาดว่าสถาบันการเงินสเปน
จะต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนชั่วคราว EFSF ก่อน ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน
ดังนั้น พันธบัตรรัฐบาลสเปนจึงกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
2. ประเด็นความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรื่อง Fiscal Union ที่ Euro Summit ตกลง
ให้กลไก ESM สามารถเข้าแทรกแซงซื้อพันธบัตรรัฐบาลของหลายประเทศในยูโรโซนได้
เพื่อช่วยลดอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของรัฐบาลบางประเทศที่ตลาดการเงินขาดความเชื่อมั่น
จนอยู่ในระดับที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ (Unsus tainable level) เช่น พันธบัตรรัฐบาลสเปนและอิตาลี
ขณะประเทศเนเธอร์แลนด์และฟินแลนด์ได้ออกมาคัดค้านการนำกลไก ESM ไปใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบาล
โดยไม่มีเงื่อนไขรัดเข็มขัด Conditio nality ซึ่งจะทำให้เสียวินัยการคลัง
โดยเนเธอร์แลนด์และฟินแลนด์อาจคัดค้านการแก้ไขสนธิสัญญาที่จะให้ ESM ซื้อพันธบัตรดังกล่าว
สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ประจำสหราชอาณาจักรและยุโรป ประเมินผลกระทบ ดังนี้
1. ในระยะสั้น: หากการประชุมรัฐมนตรีคลังฯ ยุโรป
ยังไม่สามารถตกลงรายละเอียดของมาตรการจาก Euro Summit ได้
นักลงทุนอาจจะกลับเข้าสู่ภาวะกลัวความเสี่ยง Risk off อีกครั้ง
ทำให้ต้องถอนเงินออกจากตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย และเข้าลงทุนใน Safe Haven Assets
นั่นย่อมส่งผลให้ตลาดเงินตลาดทุนไทยผันผวนอีกครั้ง
2. ในระยะปานกลาง: สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่าผลของมาตรการ Euro Summit
มุ่งแค่แก้ปัญหาในระยะสั้น แต่ปัญหาในระยะปานกลางยังไม่มีความชัดเจน
และยังไม่ได้รับการแก้ไขหลายประการ ดังนี้
- ขนาดของเงินกองทุนรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจที่ไม่เพียงพอ
โดยเงินกองทุนชั่วคราว EFSF (ขณะนี้มีเหลือเพียงประมาณ 2 แสนล้านยูโร)
และกองทุน ESM ขนาด 5 แสนล้านยูโร (ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการจัดตั้ง)
มีขนาดเล็กไม่เพียงพอรองรับวิกฤติที่อาจลุกลามเป็นวงกว้างไปยังสเปนและอิตาลี
- ยังไม่มีการจัดตั้ง Banking Union อย่างเต็มรูปแบบ
โดยเฉพาะการจัดตั้ง EURO-wide Deposit Guarantee
ซึ่งเป็นหัวใจการป้องกันการลุกลามของ Banking Crisis ในยุโรป
- ยังไม่มีการจัดตั้ง Fiscal Union อย่างเต็มรูปแบบ เช่น
การออกพันธบัตรยูโรบอนด์ และกองทุน ESM ก็มีขนาดเล็กเกินไป
ที่จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในการแทรกแซงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรให้ลดลงได้จริง
3. ในระยะยาว: สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่าขณะนี้
หลายประเทศในเขตยูโรโซนไม่มีแหล่งที่มาในการเติบโตทางเศรษฐกิจ (No Source of Growth)
เพราะไม่สามารถใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหนี้สูง
และไม่สามารถใช้นโยบายการเงินที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ (ขึ้นกับ ECB)
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ฐานะการคลังยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้นในที่สุดจะต้องมีบางประเทศที่จำเป็นต้องออกจากยูโรโซน
เพื่อใช้เครื่องมืออัตราแลกเปลี่ยนและใช้การส่งออกเป็นเครื่องมือในการฟื้นเศรษฐกิจ
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น