จะรอดูการตัดสินใจของเยอรมนีเรื่องเงินช่วยเหลือยุโรปก่อนที่จะดำเนินแผนการซื้อพันธบัตรรัฐบาล
ทำให้เงินยูโรเผชิญกับปัจจัยลบจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า
ประธานอีซีบีอาจยังไม่ประกาศแผนการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในการประชุมวันที่ 6 กันยายนนี้
เนื่องจากต้องการรอดูการตัดสินใจของเยอรมนีที่มีต่อกองทุนช่วยเหลือยุโรป
อีกทั้งนักลงทุนต่างสงสัยว่าผู้มีหน้าที่กำหนดนโยบายวางแผนอย่างไรในการควบคุมวิกฤตหนี้
จึงส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการในสกุลเงินยูโร
กระนั้น เงินยูโรก็ยังไม่ร่วงลงไปมากกว่านี้ เพราะมีข่าวว่า ECB กำลังพิจารณาว่า
จะกำหนดขอบเขตอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในการซื้อพันธบัตรรอบใหม่
ซึ่งจะช่วยควบคุมต้นทุนการกู้ยืมและป้องกันไม่ให้เกิดการเก็งกำไร
ขณะเดียวกันนักลงทุนกำลังจับตาดู นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED)
ที่จะมีการกล่าวแถลงในการประชุมประจำปีของเฟดในวันที่ 31 ส.ค.นี้
ซึ่งมีการคาดหมายว่าเฟดจะส่งสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 หรือ QE3
โดยอาจส่งผลลบต่อเงินดอลลาร์ เนื่องจากจะทำให้เงินดอลลาร์ด้อยค่าลง แต่จะเป็นผลดีต่อตลาดทองคำ
***
ระทึก! ศาลเยอรมนีชี้ขาด จุดเปลี่ยนการเงินโลก
โดย : กรุงเทพธุรกิจน.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (สแตนชาร์ต) กล่าวว่า
ปัญหาวิกฤติหนี้รัฐยุโรปยังไม่จบและยังแก้ไม่ได้
ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญสุดที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปีนี้
"ยิ่งวิกฤติยืดเยื้อถึงปีหน้า ยิ่งเป็นความเสี่ยงหลักสำคัญ
ไทยจึงต้องตระหนักว่าผลกระทบเกิดกับเศรษฐกิจอาจจะยืดเยื้อมากกว่าคาดไว้ได้
ยิ่งปัญหาแก้ไม่ตก แน่นอนเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยกับโลกชะลอตัวยาวไม่หยุดแค่ครึ่งหลังปีนี้"
สิ่งที่น่ากังวล คือ หากมีบางอย่างไม่เป็นไปตามคาด ถ้าวิกฤติยุโรปขยายวงกว้าง
ซึ่งขณะนี้ลุกลามในสเปนแล้ว รอเพียงแค่การขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการเหมือนกรีซ
และถ้าวิกฤติลามจากสเปนไปอิตาลี จะทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงมากในอนาคต
กลายเป็นความตกใจและอาจทำให้ความเชื่อมั่นการบริโภคและลงทุนแย่กว่าเดิม ตลาดเงินผันผวนมากขึ้น ปฏิกิริยาผู้กำหนดนโยบายการเงินการคลังมีมากกว่าเดิม
กลายเป็นผู้คนตกใจบวกความผันผวนตามมา
"ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก
ตระหนักอยู่แล้วว่าโลกมีแนวโน้มชะลอตัว
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะดีกว่าปีนี้ถือเป็นความเสี่ยง
ทุกฝ่ายจึงต้องมองถึงเศรษฐกิจปีหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงไว้ ไม่ใช่วางแผนแค่ครึ่งหลังปีนี้ไม่พอ
แต่ต้องวางแผนเผื่อปีหน้าเลย"
ปัจจัยเสี่ยงต้องจับตาเฝ้าระวังในครึ่งหลังปีนี้ น.ส.อุสรา กล่าวว่า
เรื่องแรก คือ วันที่ 12 กันยายนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีจะพิจารณาว่า
เห็นชอบกับรัฐบาลหรือไม่ในการตั้งกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) แบบถาวร
ถ้าไม่เห็นชอบเพราะเยอรมนีถือเป็นเสาหลักมีเงินเยอะสุดในยูโรโซน 17 ชาติ
กลายเป็นประเด็นสำคัญ คนตีความว่าแย่ ขาดความเชื่อมั่น และวิกฤติลุกลามปั่นป่วนได้อีกรอบ
เรื่องที่สอง วิกฤติจะลามจากสเปนไปอิตาลีหรือไม่ ต้องตามดูอย่างใกล้ชิดในช่วง 6 เดือนหน้า
ถ้าเกิดจริง...สะท้อนว่าวิกฤติยุโรปยังไม่ถึงจุดต่ำสุดเหมือนไฟยังไม่หยุดไหม้ ความเสียหายยิ่งกินวงกว้าง
สุดท้ายเป็นเรื่องต้องตามดูเจ้าหนี้กรีซจะเอาอย่างไรกับกรีซ ซึ่งผลจะออกมาในเดือนกันยายนนี้
"ปัจจัยเสี่ยงจะมากระจุกตัวในเดือนกันยายน
ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับทิศทางตลาดเงินโลกและทิศทางเศรษฐกิจโลกปีหน้า
แต่ความเสี่ยงเหล่านี้ก็ถือเป็นแผนที่การเดินทางให้นักธุรกิจ นักลงทุน
และผู้กำหนดนโยบายในไทยจัดการวางแผนตัวเองในปีหน้าเช่นกัน"
น.ส.อุสรา เสนอว่าหากวิกฤติยุโรปลากยาวต่อเนื่อง วิธีการบริหารจัดการต้องแตกต่างกัน
กล่าวคือไทยอาจต้องเก็บกระสุนหรือยาที่มีอยู่อย่างจำกัดไว้ใช้ในยามจำเป็น คือ
อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อหนุนความเชื่อมั่น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจังหวะกับเวลาเหมาะสมว่า
จะใช้กระสุนหรือยาเมื่อใด จึงต้องรอใช้ตอนชัดเจนช่วงวิกฤติลุกลามจริงๆ
"คิดว่าอย่างกรณีเฟด เขามีคิวอี 3 (QE3) แน่ๆ
เพียงแต่ว่าเขารอดูให้เห็นจุดต่ำสุดของวิกฤติหนี้ยุโรปเสียก่อนแล้วค่อยใช้
สำหรับไทยทุกคนเห็นตรงกันว่าการลดดอกเบี้ยช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยได้
แต่อาจต้องใจเย็นรอจุดต่ำสุดของวิกฤติ จึงใช้นโยบายลดดอกเบี้ยดึงความเชื่อมั่นให้ถูกเวลา"
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น