ธนาคารกลางเกาหลีใต้กว้านซื้อทองคำมหาศาล “2 หมื่นกิโล”
ด้าน “รัสเซีย-คาซัคสถาน” แห่ซื้อทองคำมาตุนเพียบ
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) แถลงยืนยันในวันพุธที่ 6 มี.ค. นี้ ว่า
ได้ทำการกว้านซื้อทองคำจำนวนมหาศาลน้ำหนักกว่า 20 เมตริกตัน
หรือ 20,000 กิโลกรัมมาถือครองไว้
โดยการกว้านซื้อทองคำจำนวนดังกล่าวของทางบีโอเคนั้นเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันพบข้อมูลว่ารัฐบาลรัสเซียและคาซัคสถานสั่งซื้อทองคำเพิ่มเติมจำนวนมาก
รายงานข่าวระบุว่า แบงก์ ออฟ โคเรีย
หรือธนาคารกลางแดนโสมขาว
ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 1950
และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงโซล
ได้เพิ่มการถือครองทองคำของตนในเดือนที่แล้วด้วยการกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่น้ำหนักกว่า 20 ตัน หรือ 20,000 กิโลกรัม
ส่งผลให้ในขณะนี้ทางธนาคารฯ มี “ทองคำสำรอง”
ในความครอบครองเพิ่มขึ้นอีก 24 เปอร์เซ็นต์ เป็นทั้งสิ้น 104.4 ตันแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มจำนวนทองคำในความครอบครองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ยังถือเป็นการกว้านซื้อทองคำเป็น “ครั้งที่ 5” ของทางธนาคารกลางเกาหลีใต้
นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2011 ขณะเดียวกัน การซื้อทองคำล็อตใหญ่ครั้งล่าสุดของเกาหลีใต้
ยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากที่บีโอเคเพิ่งมีคำสั่งซื้อทองคำน้ำหนักถึง 30 ตันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ ถือเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อย
เนื่องจากการกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่ของบีโอเคเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงต้นปีนี้
อยู่ในระดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา
และถือเป็น “โลหะมีค่า” ที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดในตลาดในปีนี้
หลังราคาร่วงลงไปแล้วกว่า 5.8 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่เริ่มปี 2013
นอกจากนั้น พ่อมดการเงินชื่อก้องชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการีอย่าง “จอร์จ โซรอส”
ก็เพิ่งตัดสินใจถอนการลงทุนกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ออกจากกองทุน “เอสพีดีอาร์ โกลด์ ทรัสต์”
เมื่อช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2012 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้ออกคำสั่งให้ธนาคารกลางรัสเซีย
เพิ่มการถือครองทองคำสำรองอีก 12.2 ตัน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ส่งผลให้รัฐบาลมอสโกมีทองคำสำรองอยู่ในมือแล้วทั้งสิ้น 970 ตัน
ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นจากยอดการถือครองทองคำของรัสเซียในปีที่แล้วถึง 8.5 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังพบว่า
รัฐบาลของคาซัคสถาน ดินแดนที่อุดมไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในเอเชียกลาง
ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีนูร์สุลต่าน อาบิชูลี นาซาร์บาเยฟ วัย 72 ปี
ได้นำเงินรายได้จากอุตสาหกรรมพลังงานของตนไปกว้านซื้อทองคำเพิ่มขึ้นถึง 41 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
รวมถึงเพิ่งมีการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ตันเมื่อช่วงต้นปีนี้
ส่งผลให้ปริมาณทองคำสำรองของคาซัคสถานล่าสุดมีทั้งสิ้นกว่า 116.8 ตัน
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
7 มีนาคม 2556
4 กุมภาพันธ์ 2556
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยน
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงใดๆ มาอ่านบทความดีๆ น่าขบคิดกันดีกว่า...
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ : หน้าต่างอาเซียน
โดย ทนง ขันทอง
หลังจากที่ระบบการเงินสหรัฐอเมริกาล้มเมื่อปี 2008
มีการพิมพ์เงินโดยธนาคารกลางเฟดเดอรัล รีเซิร์ฟ ออกมาอย่างอุตลุด
เพื่อรักษาระบบไม่ให้พัง ไม่มีการเอาหนี้เสียจากธนาคารออกมาเลหลังขาย หรือปฏิรูปสถาบันการเงิน
ระเบียบบัญชีได้รับการผ่อนคลายเพื่อว่าจะไม่ต้องโชว์ความเสียหายของมูลค่าทรัพย์สินที่เสื่อมลงหลังจากฟองสบู่แตก
Fed เฟดรับซื้อหนี้เสียจนงบดุลปูดขึ้นมาจาก 6-7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนช่วงวิกฤติ เป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้
สิ้นปีนี้งบดุลของเฟดคาดว่าจะไปถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
ทาง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็อุ้มวอลล์สตรีท รวมทั้งออกมาตรการต่างๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนทำให้หนี้รัฐบาลกลางพุ่งจาก 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในปัจจุบัน มีผลทำให้การคลังสหรัฐยืนอยู่ปากเหว
มองไปข้างหน้างบประมาณจะขาดดุลกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี
อีก 10 ปีก็ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติโตแค่ปีละ 2% อย่างเก่งหรือเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขว่างงานล่าสุดขยับขึ้นไปเป็น 7.9%
อาการป่วยทางเศรษฐกิจแบบนี้ดูไม่ออกว่าจะฟื้นอย่างไร
และความเชื่อมันในค่าเงินดอลลาร์ในฐานะเป็นเงินสกุลหลักของโลกกำลังลดถอยลงทุกวัน
ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สำคัญ 2 เรื่องคือ
1. จีนต้องเร่งวางโครงสร้างระบบการเงินและสร้างความร่วมมือทางการเงินการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก
เพื่อเตรียมการลอยตัวค่าหยวน เพื่อให้หยวนเป็นเงินสกุลหลักอีกสกุลหนึ่งของโลก
2. ในขณะเดียวกันมีการพูดกันมากขึ้นถึงบทบาทของทองคำที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่แท้จริงเพราะว่า
ไม่มีใครพิมพ์ทองจากอากาศได้ ทำให้มีวินัยการเงินการคลังที่แท้จริง
ขณะนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเฟดอย่างเดียวที่ต้องพิมพ์เงินออกมาเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อมาช่วยลดภาระต้นทุนของแบงก์ด้วยการซื้อหนี้เสียออกมาและอุดงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลกลาง
นโยบายการพิมพ์เงินของเฟดออกมาเปล่าๆ จากกลางอากาศโดยไม่มีทองหรือทรัพย์สินอะไรหนุนหลังแบบนี้
ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ เป็นการทำสงครามการเงินไปในตัว
เพราะว่าแบงก์หรือพวกนักบริหารการเงินสามารถกู้เงินสกุลดอลลาร์ได้ถูกที่ 0.75%-1.0%
แล้วเอามาพยุงหุ้นดาวโจนส์รักษาฐานะทรัพย์สินของคน
และยังสามารถเอาดอลลาร์ถูกไปถล่มค่าเงิน หรือปั่นตลาดหุ้นตลาดการเงินประเทศอื่นๆ ได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าระบบการเงินของโลกมีปัญหาหนักหน่วง
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจะสงบ
เงินยูโร/ดอลลาร์ซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1.40-1.25
ในขณะที่ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 76-82 หยวน/ดอลลาร์อยู่ที่ 6.4-6.2
ดอลลาร์/ปอนด์อังกฤษอยู่ที่ 1.54-1.62 และสวิสฟรังค์/ยูโรอยู่ที่ 1.20
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนบ้านเราก็มีเสถียรภาพพอสมควร บาท/ดอลลาร์อยู่ในช่วง 30-31
แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเมื่อญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศว่า...
จะทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นจากการซบเซามามากว่า 20 ปี
หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือจะบังคับให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพิมพ์เงินเพิ่ม
เพื่อทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นจาก 1% เป็น 2% และทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัว
เงินที่เคยอยู่ช่วง 76-82 ต่อดอลลาร์ อ่อนตัวลงอย่างกะทันหัน มาแตะที่ 90-91 ในช่วงที่ผ่านมา
ไม่นานอาจจะถึง 100 ก็เป็นไปได้
ค่าเงินบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 3% กว่า ตอนนี้แตะ 29 แล้ว ทั้งปี 2012 บาทแข็งค่าขึ้น 3%
การรวมหัวกันทำสงครามการเงินโดยสหรัฐและญี่ปุ่นครั้งนี้
ทำให้รัสเซีย เยอรมนี เกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ออกมาโวย
เพราะการบีบค่าเงินดอลลาร์และเยนให้อ่อนตัวลง จะทำให้ค่าเงินประเทศอื่นแข็งค่าขึ้น
ความสามารถในการแข็งขันในการส่งออกจะลดลง
ถ้าจะลดค่าเงินตัวเองลงเพื่อแข่งกับดอลลาร์ เยนก็จะพากันไปตายกันเสียหมด
เพราะท้ายที่สุดจะไม่มีใครชนะกำไรในการขายของไม่มี เงินเฟ้อกินหมด
ไทยเรากำลังติดหางเลขไปด้วย ยังหาทางออกไม่เจอว่าจะแก้เกมกันอย่างไรเพราะยังมัวดูตำราอยู่
รัฐบาลอยากให้ค่าบาทอ่อน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าแทรกแซงมาก
เพราะยิ่งแทรกแซงยิ่งขาดทุน ที่จริงประเทศเล็กๆ อย่างไทยคงจะทำอะไรมากไม่ได้
เพราะสึนามิทางการเงินกำลังมา จะพึ่งพาการส่งออกเหมือนในอดีตไม่ได้
ตอนนี้คงต้องดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้ดีๆ
ด้วยการตุนทองและทำสวอปบาท/หยวนเพื่อปกป้องตัวเอง เหลือดอลลาร์แค่พอทำการค้าระหว่างประเทศ
เพราะระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ
ข้อมูลจาก : www.komchadluek.net
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ : หน้าต่างอาเซียน
โดย ทนง ขันทอง
หลังจากที่ระบบการเงินสหรัฐอเมริกาล้มเมื่อปี 2008
มีการพิมพ์เงินโดยธนาคารกลางเฟดเดอรัล รีเซิร์ฟ ออกมาอย่างอุตลุด
เพื่อรักษาระบบไม่ให้พัง ไม่มีการเอาหนี้เสียจากธนาคารออกมาเลหลังขาย หรือปฏิรูปสถาบันการเงิน
ระเบียบบัญชีได้รับการผ่อนคลายเพื่อว่าจะไม่ต้องโชว์ความเสียหายของมูลค่าทรัพย์สินที่เสื่อมลงหลังจากฟองสบู่แตก
Fed เฟดรับซื้อหนี้เสียจนงบดุลปูดขึ้นมาจาก 6-7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนช่วงวิกฤติ เป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้
สิ้นปีนี้งบดุลของเฟดคาดว่าจะไปถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
ทาง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็อุ้มวอลล์สตรีท รวมทั้งออกมาตรการต่างๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนทำให้หนี้รัฐบาลกลางพุ่งจาก 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในปัจจุบัน มีผลทำให้การคลังสหรัฐยืนอยู่ปากเหว
มองไปข้างหน้างบประมาณจะขาดดุลกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี
อีก 10 ปีก็ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติโตแค่ปีละ 2% อย่างเก่งหรือเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขว่างงานล่าสุดขยับขึ้นไปเป็น 7.9%
อาการป่วยทางเศรษฐกิจแบบนี้ดูไม่ออกว่าจะฟื้นอย่างไร
และความเชื่อมันในค่าเงินดอลลาร์ในฐานะเป็นเงินสกุลหลักของโลกกำลังลดถอยลงทุกวัน
ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สำคัญ 2 เรื่องคือ
1. จีนต้องเร่งวางโครงสร้างระบบการเงินและสร้างความร่วมมือทางการเงินการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก
เพื่อเตรียมการลอยตัวค่าหยวน เพื่อให้หยวนเป็นเงินสกุลหลักอีกสกุลหนึ่งของโลก
2. ในขณะเดียวกันมีการพูดกันมากขึ้นถึงบทบาทของทองคำที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่แท้จริงเพราะว่า
ไม่มีใครพิมพ์ทองจากอากาศได้ ทำให้มีวินัยการเงินการคลังที่แท้จริง
ขณะนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเฟดอย่างเดียวที่ต้องพิมพ์เงินออกมาเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อมาช่วยลดภาระต้นทุนของแบงก์ด้วยการซื้อหนี้เสียออกมาและอุดงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลกลาง
นโยบายการพิมพ์เงินของเฟดออกมาเปล่าๆ จากกลางอากาศโดยไม่มีทองหรือทรัพย์สินอะไรหนุนหลังแบบนี้
ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ เป็นการทำสงครามการเงินไปในตัว
เพราะว่าแบงก์หรือพวกนักบริหารการเงินสามารถกู้เงินสกุลดอลลาร์ได้ถูกที่ 0.75%-1.0%
แล้วเอามาพยุงหุ้นดาวโจนส์รักษาฐานะทรัพย์สินของคน
และยังสามารถเอาดอลลาร์ถูกไปถล่มค่าเงิน หรือปั่นตลาดหุ้นตลาดการเงินประเทศอื่นๆ ได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าระบบการเงินของโลกมีปัญหาหนักหน่วง
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจะสงบ
เงินยูโร/ดอลลาร์ซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1.40-1.25
ในขณะที่ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 76-82 หยวน/ดอลลาร์อยู่ที่ 6.4-6.2
ดอลลาร์/ปอนด์อังกฤษอยู่ที่ 1.54-1.62 และสวิสฟรังค์/ยูโรอยู่ที่ 1.20
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนบ้านเราก็มีเสถียรภาพพอสมควร บาท/ดอลลาร์อยู่ในช่วง 30-31
แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเมื่อญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศว่า...
จะทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นจากการซบเซามามากว่า 20 ปี
หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือจะบังคับให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพิมพ์เงินเพิ่ม
เพื่อทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นจาก 1% เป็น 2% และทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัว
เงินที่เคยอยู่ช่วง 76-82 ต่อดอลลาร์ อ่อนตัวลงอย่างกะทันหัน มาแตะที่ 90-91 ในช่วงที่ผ่านมา
ไม่นานอาจจะถึง 100 ก็เป็นไปได้
ค่าเงินบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 3% กว่า ตอนนี้แตะ 29 แล้ว ทั้งปี 2012 บาทแข็งค่าขึ้น 3%
การรวมหัวกันทำสงครามการเงินโดยสหรัฐและญี่ปุ่นครั้งนี้
ทำให้รัสเซีย เยอรมนี เกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ออกมาโวย
เพราะการบีบค่าเงินดอลลาร์และเยนให้อ่อนตัวลง จะทำให้ค่าเงินประเทศอื่นแข็งค่าขึ้น
ความสามารถในการแข็งขันในการส่งออกจะลดลง
ถ้าจะลดค่าเงินตัวเองลงเพื่อแข่งกับดอลลาร์ เยนก็จะพากันไปตายกันเสียหมด
เพราะท้ายที่สุดจะไม่มีใครชนะกำไรในการขายของไม่มี เงินเฟ้อกินหมด
ไทยเรากำลังติดหางเลขไปด้วย ยังหาทางออกไม่เจอว่าจะแก้เกมกันอย่างไรเพราะยังมัวดูตำราอยู่
รัฐบาลอยากให้ค่าบาทอ่อน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าแทรกแซงมาก
เพราะยิ่งแทรกแซงยิ่งขาดทุน ที่จริงประเทศเล็กๆ อย่างไทยคงจะทำอะไรมากไม่ได้
เพราะสึนามิทางการเงินกำลังมา จะพึ่งพาการส่งออกเหมือนในอดีตไม่ได้
ตอนนี้คงต้องดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้ดีๆ
ด้วยการตุนทองและทำสวอปบาท/หยวนเพื่อปกป้องตัวเอง เหลือดอลลาร์แค่พอทำการค้าระหว่างประเทศ
เพราะระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ
ข้อมูลจาก : www.komchadluek.net
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)